วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

จิตวิทยาการเรียนการสอน                    
ความหมายของจิตวิทยา                                
     จิตวิทยาเป็นศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมและประสบการณ์ของมนุษย์  โดยมีจุดหมายเพื่อค้นคว้าหาคำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์  และวิธีที่เขาได้รับประสบการณ์ต่างๆ  จากโลกรอบๆตัวเขา
(Malim , Tony and Birch, Ann. 1998 : 3)      
ความหมายของจิตวิทยาในปัจจุบัน
     ความหมายของจิตวิทยาในปัจจุบัน  หมายถึง วิทยาศาสตร์  (science)  ที่ศึกษาเรื่องพฤติกรรม (behavior)  และกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง  (Mental Process) (Halonen Jane S. and Santrock W.,  1996 : 5 )   
      จากความหมายของจิตวิทยาข้างต้น  จะเห็นว่า  จิตวิทยาเกี่ยวข้องกับคำ 3 คำ คือวิทยาศาสตร์ พฤติกรรม และกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติม  ดังนี้
     1.) จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์  หรือเป็นศาสตร์นั้น  หมายความว่า  เป็นความรู้ทางจิตวิทยาที่เชื่อถือได้ เป็นความรู้ที่ได้จากสังเกต  การวัด  การทดลอง และการตรวจสอบอย่างรัดกุม มีระบบแบบแผนที่แน่นอน จนสามารถสรุปเป็นกฎเกณฑ์และทฤษฎีต่างๆ เพื่อนำไปใช้อธิบาย  ทำนาย และควบคุมปรากฏการณ์ต่างๆ ได้                                                              
     2.)พฤติกรรม  คือการกระทำและการตอบสนองของอินทรีย์  นักจิตวิทยามักจะศึกษาพฤติกรรมภายนอก เพราะเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตและวัดได้  พฤติกรรมภายนอกได้แก่  การกระทำต่างๆ ของมนุษย์ซึ่งสามารถสังเกตได้ด้วยตา เช่น การเดิน  การพุด  ฯลฯ  หรืออาจจะใช้เครื่องมืออื่นๆ  เช่น การใช้เครื่องวัด
 วัดอัตราการหายใจ  คลื่นสมอง  ความดันโลหิต   และอื่นๆ
     3.) กระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง  เป็นพฤติกรรมภายในได้แก่ การกระทำที่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้เช่น การรับรู้  ความคิด  ความจำ  ความรู้สึกและอารมณ์ การศึกษาพฤติกรรมภายในทำได้หลายวิธีเช่น การให้ผู้ที่เราต้องการจะศึกษารายงานตนเองหรือการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้  โดยการนำเครื่องมือต่างๆมาใช้เช่น เครื่องวัดความวิตกกังวล (EKG)   เครื่องมือวัดคลื่นสมอง (EEG) และเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CAT หรือ Scan) เป็นต้น 
ความเป็นมาของจิตวิทยา
      คำว่า จิตวิทยาตรงกับภาษาอังกฤษว่า ไซโคโลยี (Psychology) มาจากศัพท์เดิมภาษากรีก2คำคือ  ไซคี และ โลกอส (Psyche and Logos)
      ไซคี แปลว่า จิตใจ( Mind )หรือวิญญาณ                   
      โลกอส แปลว่า การศึกษา(Study) หรือแบบของการสอน (line of teaching)                               
ฉะนั้น เมื่อรวมเข้าด้วยกันจิตวิทยาจึงไซคี และโลกอส หมายถึง การศึกษาเรื่องของจิตหรือวิญญาณ
       วิชาจิตวิทยาได้พัฒนามาเป็นศาสตร์ อย่างช้าๆเนื่องจากมีความขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนา โดยศาสนาเชื่อว่าเรื่องของจิตหรือวิญญาณเป็นสิ่งที่เป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎหรือหลักเกณฑ์ใดๆ จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 19 มีนักจิตวิทยาชาวเยอรมันคนหนึ่งชื่อ เฮล์ม โฮลทซ์ (Helmholtz) เป็นผู้หนึ่งในกลุ่มบุคคลที่นำการทดลองมาใช้ในการศึกษาจิตวิทยา ต่อมาในปี ค.ศ.1879 มีนักจิตวิทยาชาวเยออรมันชื่อ วิลเฮล์ม วุ้นด์ (Wilhelm Wundt)เป็นคนแรกที่ใช้วิธีทางการวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาทางการวิทยา
       วิลเฮล์ม วุ้นด์ (Wilhelm Wundt) ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง จากนั้นเป็นต้นมาจิตวิทยาได้รับการสนใจ ศึกษาค้นคว้าด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์จนถึงปัจจุบัน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาการเรียนการสอน
        คำว่า การเรียนการสอน อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆและตรงไปตรงมาเริ่มตั้งแต่ครูเตรียมการสอน  เตรียมเนื้อหา และสอนให้ตรงตามหลักสูตรที่กำหนดไว้  แต่ความเป็นจริงแล้ว การเรียนการสอนมิได้ง่ายอย่างที่คิด ดังที่ สุมน อมรวิวัฒน์ (2541:5)  กล่าวไว้ในบทความเรื่อง ทำไมต้องปฏิรูปการเรียนรู้ตอนหนึ่งว่า
         ....การสอนตามเนื้อหาหนังสือ  และหลักสูตรซึ่งไม่มีหลักสูตรใดจะยืนยงคงกระพันไม่ล้าสมัย  ไม่มีหนังสือเล่มใดจะครอบคลุมเรื่องที่ต้องเรียนให้หมด  ไม่มีครูคนใดบอกเด็กได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา ทุกคน ด้วยเหตุนี้ครูจึงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว  ถ้าครูไม่ปรับปรุงคุณภาพของการสอน เด็กใน 10 ปีข้างหน้าจะมีคุณภาพเหมือนเราและล้าหลังยิ่งกว่าเรา...
         จากข้อความข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า  คุณภาพของเด็กในวันนี้คือคุณภาพของประชากรในวันข้างหน้า และคุณภาพการศึกษา คุณภาพประชากรอยูที่การสอนของครู  วิชาจิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนการสอน ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งด้านตัวนักเรียนและการสอนของครู จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้ครูเข้าใจบทบาทของตนเอง และเข้าใจธรรมชาติของนักเรียน เข้าใจกระบวนการเรียนการสอน และครูสามารถพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียน
ขอบข่ายของจิตวิทยาการเรียนการสอน
        ได้มีผู้กล่าวถึงขอบข่ายของจิตวิทยาการเรียนการสอนไว้หลายท่าน เช่น
             สุพล บุญทรง (2531:21) ได้กล่าวถึงจุดที่สำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอนในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผู้เรียน  แบ่งเป็น 2 เรื่องใหญ่ คือ ตัวผู้เรียนและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง กับการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่ผู้สอนต้องรู้ว่าผู้เรียนมีพัฒนาการ และองค์ประกอบในการเรียนรู้อย่างไรโดยศึกษาจากจิตวิทยาพัฒนาการ  จิตวิทยาการเรียนรู้ หรือจิตวิทยาการศึกษา
              กุญชรี ค้าขาย (2536:101) ได้กล่าวถึงขอบข่ายของจิตวิทยาการเรียนการสอนว่า ประกอบด้วยความรู้ 4 ด้าน คือ                  1.ความรู้เรื่องพัฒนาการของมนุษย์
                2.หลักการเรียนการสอน
                3.ความแตกต่างระหว่างบุคคล
                4.การนำหลักการและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน
               โกวิทย์ ประวาลพฤกษ์ และคณะ (2534:71-75) ได้กล่าวถึงลักษณะทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนว่ามาจาก 3 แหล่ง คือ
                            1.จิตวิทยาพัฒนาการเด็กซึ่งมุ่งศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ในด้านต่างๆ
                           2.จิตวิทยาการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเรื่องการรับรู้ ความจำ การเข้าใจสิ่งใหม่ๆ และการจัดโครงสร้างทางความรู้ความคิด
                            3.จิตวิทยาการเรียนการสอน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ครูและนักเรียนร่วมกันดำเนินการเพื่อให้บรรลุผล
     
ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์
   การเรียนการสอนจะดำเนินไปได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับครูผู้สอน และครูยังต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน และในการถ่ายทอดความรู้จะต้องรู้จักผู้เรียนเป็นอย่างดี การรู้จักผู้เรียนนั้นผู้สอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความหมายของพัฒนาการ
     พัฒนาการ หมายถึง แบบแผนของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านความเจริญเติบโตและการเสื่อมของมนุษย์ ตั้งแต่มีการปฏิสนธิต่อเนื่องกันไปจนตลอดวงจรชีวิต
      นักจิตวิทยาได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ออกเป็น 4 ด้าน คือ
1. พัฒนาการทางด้านร่างกาย หมายถึง ความเจริญเติบโตที่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
2. พัฒนาการทางด้านสติปัญญา หมายถึง ความสามารถในด้านความคิด ความจำ ความมีเหตุผล     ความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
3. พัฒนาการทางด้านอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมให้อยู่ในภาวะที่สังคมยอมรับ
4. พัฒนาการทางด้านสังคม หมายถึง ความสามารถในการที่จะปรับตนให้เข้ากับสังคมที่ตนอยู่ได้เป็นอย่างดี และสามารถปรับตนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตนเองได้
องค์ประกอบของพัฒนาการ
        พัฒนาการของบุคคลเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบ 2 อย่างต่อไปนี้ คือ วุฒิภาวะและการเรียนรู้
การนำความรู้เรื่องพัฒนาการไปใช้ในการเรียนการสอน
1.             การเรียนการสอนควรเป็นลักษณะบูรณาการวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันเพราะพัฒนาการของมนุษย์เป็นไปในลักษณะประสานสัมพันธ์กันทุกส่วน
2.             เด็กมีความแตกต่างกัน การเรียนการสอนที่ดี คือ การเรียนการสอนที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก เช่น เรื่องความสนใจ ความต้องการแรงจูงใจ ความพร้อมและความสามารถของเด็กแต่ละคน
3.             การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ดี ควรคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของเพศหญิง และเพศชาย เพราะมีพัฒนาการแตกต่างกัน
4.             พัฒนาการของมนุษย์ทุกคนเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ดังนั้นการจัดหลักสูตร และการดำเนินการสอนควรจัดเรียงตามลำดับก่อน-หลัง ของความยาก ง่าย และสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
                                                           พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
ความหมายของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
         พันธุกรรม (Heredity) หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะต่างๆจากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน ด้วยวิธีการสืบพันธ์ โดยมียีนส์ซึ่งอยู่บนโครโมโซมเป็นตัวถ่ายทอดลักษณะต่างๆ
          สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึง สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราหรือหมายถึงสิ่งเร้าต่างๆ ที่มักเกี่ยวข้องกับตัวเราทำให้เรามีการกระทำ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น คน สัตว์ วัตถุสิ่งของ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ฯลฯ สิ่งแวดล้อมนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งเร้าที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของมนุษย์นอกเหนือไปจากพันธุกรรม
ความสำคัญของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อพัฒนาการ
            จากการศึกษาเรื่องพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมเป็นที่ยอมรับแล้วว่า ลักษณะพัฒนาการของแต่ละคนมาจากการทำงาน ร่วมกันระหว่างพันธุกรรมสิ่งแวดล้อม โดยที่พันธุกรรมเป็นตัวกำหนดขอบเขตการพัฒนาการของบุคคล ส่วนสิ่งแวดล้อมช่วยส่งเสริม หรือขัดขวางพัฒนาการใดๆ
ประโยชน์ของความรู้เรื่องพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อครู
   1. ช่วยให้ครูทราบลักษณะความแตกต่างและขอบเขตความสามารถ ของเด็กแต่ละคนว่าสาเหตุมาจากอะไร
   2. ช่วยให้ครูเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และพยายามปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก
   3. ช่วยให้ผู้ปกครองและครูสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของเด็กได้ทันเวลา และหาทางส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ให้เหมาะสมกับขอบเขตความสามารถ
ทฤษฏีพัฒนาการ
ความหมายและความสำคัญของทฤษฏีพัฒนาการ
          ทฤษฏีพัฒนาการคือ คำอธิบายที่เป็นผลสรุปจากการศึกษาพัฒนาการ และพฤติกรรมมนุษย์ ทุกทฤษฏีจัดตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อบางประการ การศึกษาทฤษฏีต่างๆ ที่เกี่ยวกับพัฒนาการ จะช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจลักษณะของพัฒนาการแต่ละช่วงวัย ในบทนี้จะขอเสนอทฤษฏีพัฒนาการบางทฤษฏี เพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจ ทฤษฏีที่จะกล่าวถึงได้แก่                                                                                                            
      1.) ทฤษฏีวุฒิภาวะ (Maturation Theories)
          ทฤษฏีนี้ได้อธิบายแบบแผนการเจริญเติบโต และพัฒนาการที่แตกต่างกันไปตามอายุ โดยมีความคิดอยู่บนพื้นฐานที่ว่า พัฒนาการของมนุษย์เป็นผลมาจากพันธุกรรม ทฤษฏีนี้ได้รับอิทธิพลจากทฤษฏีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน (Charies Darwin , 1809-1882)
      2.) ทฤษฏีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ (Freud’s Psychoanalytic Theory)
           ทฤษฏีจิตวิเคราะห์นับได้ว่าเป็นทฤษฏีที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ โดยที่ ฟรอยด์ เป็นผู้หนึ่งที่เห็นความสำคัญของประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมในวัยเด็กว่ามีผลต่อลักษณะพัฒนาการ และบุคลิกภาพในวัยเจริญเติบโต เขาเชื่อว่า 5 ปีแรกของชีวิตจะมีความสำคัญกับพัฒนาการทางบุคลิกภาพมากที่สุด และพัฒนาการทางบุคลิกภาพเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เรียกว่า ขั้นพัฒนาการทางเพศ (Psychosexual stages) มี 5 ระยะ
          (2.1)   ระยะปาก เริ่มตั้งแต่ 0-1 ขวบ ในวัยนี้เด็กจะได้รับความสุขจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปาก ถ้าเด็กได้รับความสุขโตขึ้นมาจะมองโลกในแง่ดีและมีความไว้วางใจ ในทางตรงข้ามถ้าเด็กไม่ได้รับความสุข และความรัก เด็กจะมองโลกในแง่ร้าย ขาดความไว้วางใจผู้อื่น
         (2.2)  ระยะขับถ่าย ตั้งแต่ 2-3 ขวบ แหล่งที่จะทำให้เด็กเกิดความสุขคือ ทวาร กิจกรรมของเด็กในระยะนี้ แบ่งออกได้ 2 ตอน คือ ตอนกลั้นอุจาระ และตอนถ่ายอุจาระ เช่น ถ้าเด็กพอใจกับการกลั้นอุจาระ พอโตอาจจะเป็นคนขี้เหนียว แต่ถ้าพอใจกับการถ่ายอุจาระ โตขึ้นมาจะเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
         (2.3) ระยะอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งแต่อายุ 3-5 ขวบ แหล่งที่ทำให้เด็กพอใจคืออวัยวะสืบพันธุ์คือเด็กจะเกิดความรู้สึกรัก และผูกพัน กับพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามกับตน
         (2.4)   ระยะฟักตัวหรือระยะแฝง ตั้งแต่อายุ 6-13 ปี เป็นระยะเงียบสงบ และมีพัฒนาการทักษะแตกต่าง เด็กจะค่อยๆแยกตัวจากพ่อ-แม่ไปสู่สังคม
        (2.5)  ระยะลักษณะเพศขั้นทุติยภูมิ เริ่มตั้งแต่ วัยรุ่นเป็นต้นไป สิ่งที่สำคัญในวัยนี้คือ วัยรุ่นจะเป็นวัยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เช่น ปรับตัวให้เข้ากับเพศตรงข้าม เลียนบทบาททางเพศ ผูกพันกับเพศตรงข้าม
   3. ) ทฤษฏีพัฒนาการทางจิตสังคม                                  
           อีริก อิริกสัน (Erik Erikson) เป็นนักจิตวิทยาในกลุ่มจิตวิเคราะห์ เขาสนใจทฤษฏีของ ฟรอยด์ และเป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์  อีริกสันเน้นความสำคัญ ของความสำคัญและความต้องการทางจิตสังคม เขาเน้นว่าสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อพัฒนาการ โดยเฉพาะบุคคลแวดล้อม
   อิริกสัน  ได้แบ่งพัฒนาการตามความต้องการทาวสังคมทางบุคคล ออกเป็น 8ขั้น ดังนี้


ลำดับ
ขั้น
    
อายุ
บุคคลแวดล้อม
ปฏิบัติดี
พัฒนาการที่จะ
เกิดขึ้น
บุคคลแวดล้อม
ปฏิบัติไม่ดี
พัฒนาการที่จะ
เกิดขึ้น
บุคคล
แวดล้อม
ที่มีอิทธิพลต่อ
บุคคล
วิธีปฏิบัติต่อบุคคล
วัยต่างๆ
ขั้นที่
1
แรกเกิดถึง
1 ปี
ความไว้วางใจ
ความไม่ไว้วางใจ
พ่อแม่หรือบุคคลที่ทำหน้าที่แทน
พ่อแม่ต้องให้ความรักความอบอุ่น
ขั้นที่
2
2-3 ปี
ความมั่นใจในตัวเอง
ความอิสระทางความคิด
ความสงสัยไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง
พ่อ แม่ พี่เลี้ยง
เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดและทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
ขั้นที่
3
3-5  ปี
ความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์
ความรู้สึกผิด
ครู พ่อ แม่
เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดและลองทำตามความคิดนั้น
ขั้นที่
4
6-11 ปี
ความรู้สึกขยัน
หมั่นเพียรและความภาคภูมิใจในตนเอง
ความรู้สึกด้อย น้อยเนื้อต่ำใจ
พ่อ แม่ ครู
พยายามให้ความชื่นชม ความสามารถหรือความดีบางอย่างในตัวเด็ก
ขั้นที่
5
12-20 ปี
ความเป็นเอกลักษณ์
ความสับสนในบทบาทตนเอง
เพื่อน พ่อ แม่ ครุ
เป็นที่ปรึกษาที่ดีและเข้าใจเมื่อเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
ขั้นที่
6
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น
20-35 ปี
ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด
ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
คู่รัก เพื่อนสนิท
การเป็นคู่รักที่ดี การเป็นเพื่อนที่ดี
ขั้นที่
7
วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย35-60 ปี
ความรู้สึกมั่นคงทำประโยชน์ให้สังคม
ความรู้สึกคิดถึงตนเอง
คู่ชีวิต ลูก เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน
เป็นคู่ชีวิตที่ดี เป็นลูกที่ดี
ขั้นที่
8
วัยชรา 60 ปีขึ้นไป
ความรู้สึกสมบูรณ์ในชีวิต
ความรู้สึกสิ้นหวังทอดอาลัย
ลูกหลาน บุคคลวัยเดียวกัน
การดูแลเอาใจใส่คนชรา


     
     4.)  ทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญา และความคิด (Cognitive Development Theory)
          ผู้สร้างทฤษฏีนี้คือ นักจิตวิทยาชาวสวิส ชื่อ จีน พีอาเจต์  เขาพบว่าวิธีการคิดและการให้เหตุผลในสิ่งต่างๆของเด็กน่าสนใจมาก จึงได้ศึกษาพัฒนาการทางความคิดขึ้นในบ้าน โดยสังเกตพฤติกรรมบุตรชาย หญิงของตน และเขาได้แบ่งพัฒนาการด้านสติปัญญา และความคิดออกเป็น 4 ขั้น
         (4.1) ขั้นสติปัญญา
         (4.2) การบรรลุถึงขั้นสติปัญญาขั้น 1 จะเป็นรากฐานสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาขึ้นต่อไป
         (4.3) ระดับขั้นของพัฒนาการด้านสติปัญญา
         (4.4) ขั้นพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิด แต่ละขั้นรากฐานของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อไป
    5.)  ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรม (Moral Development Theory)
      ทฤษฏีพัฒนาการนี้ คือทฤษฏีของ  ลอเรนซ์ โคลเบิร์ก   เขาได้พัฒนาทฤษฏีของเขาขึ้น ทฤษฏีของ โคลเบิร์ก เป็นทฤษฏีที่มีรากฐานมาจาก ทฤษฏีของ พีอาเจต์  โคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการออกเป็น 3 ระดับแต่ระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
   ระดับที่ 1 ระดับก่อนเกณฑ์สังคม ในระดับนี้เด็กจะได้รับกฎเกณฑ์ของพฤติกรรม ดี  พฤติกรรม ไม่ดี
      จากผู้มีอำนาจเหนือตน และโคลเบิร์กได้แบ่งพัฒนาการระดับนี้ออกเป็น 2 ขั้น คือ
         (1.1)การลงโทษและการเชื่อฟัง อายุ 2-7 ปี เด็กจะเคารพกฎเกณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ
         (1.2)กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน อายุ 7-10 ปี เด็กจะเริ่มกระทำในสิ่งที่พอใจ
   ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคมเป็นพัฒนาการที่ผู้ทำถือว่าประพฤติตนตามความคาดหวังของผู้ปกครอง ระดับนี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้น คือ
        (2.1) ความคาดหวังและการยอมรับในสังคมสำหรับเด็กดี
        (2.2) กฎและระเบียบ                               
ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณหรือระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคม พัฒนาการระดับนี้
           ผู้ทำได้พยายามจัดตีความหมายของหลักการ และการตัดสินใจ ถูก” “ผิด ไม่ควร  มาจาก   วิจารณญาณของตนระดับนี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้น คือ
   (3.1)  สัญญาสังคม
   (3.2)   หลักการคุณธรรมสังคม